สองผู้บุกเบิกลัทธิขงจื่อใหม่ในญี่ปุ่นยุคเอโดะ: ฟุจิวะระ เซะอิกะ (Fujiwara Seika) และ ฮะยะชิ ราซัน (Hayashi Razan)



ในประวัติศาสตร์ลัทธิขงจื่อของญี่ปุ่นยุคเอโดะนั้น มีอยู่ 2 คนที่ต้องถือว่าเป็น ผู้บุกเบิกคนสำคัญ ก็คือ ฟุจิวะระ เซะอิกะ (Fujiwara Seika 藤原 惺窩) กับ ลูกศิษย์ของเขาคือ ฮะยะชิ ราซัน (Hayashi Razan 羅山)

ตามประวัติแล้ว เดิมนั้นทั้งคู่เกิดในตระกูลชนชั้นนำ และได้บวชเรียนในพุทธศาสนา ศึกษาคำสอนของศาสนาจนแตกฉาน จนกระทั่งในภายหลัง ทั้งคู่ต่างพบว่า ศาสนาพุทธไม่อาจตอบคำถามของชีวิตตนได้ และยังเป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับธรรมชาติอีกด้วย ทั้งคู่จึงได้สึกจากการเป็นพระ และเดินตามวิถีทางของลัทธิขงจื่อนับแต่นั้นมา
ฟุจิวะระ เซะอิกะ ผู้เป็นอาจารย์ของราซันนั้น เริ่มต้นชีวิตของนักปราชญ์ลัทธิขงจื่อ ตามที่บันทึกไว้ดังต่อไปนี้

ชะคุ โชไต (Shaku Shōtai, 1548-1607)และ เระอิซัน (Reizan) ต่างก็มั่นใจในความรู้ของตน ทั้งคู่ได้ตักเตือนเซะอิกะว่า 'ตอนแรกเจ้าสมาทานพระพุทธศาสนา แต่บัดนี้เจ้ากลายเป็นพวกลัทธิขงจื่อไปเสียแล้ว เจ้าได้ละทิ้งสัจธรรมและหันกลับไปสู่วิถีของโลก เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจสิ่งนี้กันเล่านี่?' เซะอิกะตอบกลับว่า 'วิถีทางทั้งสองแบบ คือ วิถีแห่งโลกุตตรธรรม (supramundane way) และวิถีแห่งโลกียะธรรม (mundane way) นั้นเป็นทฤษฎีที่ศาสนาพุทธของพระสงฆ์อย่างพวกท่านได้อธิบายไว้ พวกท่านตีตราว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นแค่สิ่งสมมติของโลก แต่หลักการที่ว่านี้ขัดแย้งกับเทียนหลี่ (天理 ระเบียบแบบแผนของสวรรค์) และยังเป็นการละเลยต่อหลักการเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆที่เหมาะสมของมนุษย์ เช่นนี้จะเรียกทฤษฎีของพวกท่านว่าเป็นวิถีทางที่ถูกต้องได้อย่างไรเล่า?' พระภิกษุทั้งสองรูปไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เลย(Sentetsu Sōdan, Vol.1, Dai nihon bunko [Tokyo,1936])

ใน Routledge Encyclopedia of Confucianism นั้น ระบุว่า เซะอิกะเป็นคนแรกที่ทำให้การสอนคำสอนของขงจื่อมาอยู่ในมือของ Confucian เอง เพราะก่อนหน้านั้น คำสอนของลัทธิขงจื่อนั้นถูกสอนและตีความโดยบรรดาพระในพุทธศาสนา โดยพวกพระมักใช้คำสอนของขงจื่อเป็นคำสอนด้านศีลธรรมพื้นฐาน แล้วค่อยต่อด้วยคำสอนทางพุทธศาสนาซึ่งพวกพระถือว่า เหนือกว่าเพราะพุทธศาสนาแยกคำสอนแบบ โลกียะกับ โลกุตตระออกจากกันนั่นเอง เซะอิกะ ซึ่งศึกษาแล้วพบว่า คำสอนของพุทธศาสนานั้น ขัดกับธรรมชาติ” (against nature) จึงเป็นคำสอนที่นอกรีตนอกรอย ไม่เป็นความจริง

ส่วนฮะยะชิ ราซันศิษย์ของเขา ก็บันทึกเรื่องราวของเซะอิกะผู้เป็นอาจารย์ไว้ดังที่เขาก็เขียนเอาไว้ในงานเขียนชื่อ Seika sensei gyōjō (หลักข้อประพฤติของท่านอาจารย์เซะอิกะ) ว่า

ท่านอาจารย์ของเราเคยเป็นสาวกในศาสนาพุทธมาก่อน แต่ตอนนั้นจิตใจของท่านไม่อาจเป็นไทจากความกังขาต่างๆได้เลย ดังนั้นท่านจึงอ่านงานเขียนของบรรดาปราชญ์ในลัทธิขงจื่อ และได้เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อสงสัยอีกต่อไปว่า นี่แหละคือวิถีทาง (เต๋า) ที่ดำเนินอยู่ วิถีทาง (เต๋า) ไม่อาจประกอบจากสิ่งใดได้ นอกไปจากความสัมพันธ์แต่ละชุดของมนุษย์เท่านั้น ศาสนาพุทธได้ทำลายแหล่งที่มาของมนุษยธรรม (เหริน ) และปฏิเสธความชอบธรรม (อี้ ) ลง นั่นแหละคือสาเหตุที่ว่าทำไมศาสนาพุทธถึงเป็นปรัชญาของพวกนอกรีต(Razan sensei bunshū [A collection of writing of Master Razan], ed. Kyoto Shisekikai [Kyoto, 1918-19], II, p.20).

ส่วนตัวของเซะอิกะเอง ก็มีประวัติคล้ายๆกัน โดยเริ่มสนใจศึกษาลัทธิขงจื่อตั้งแต่ยังคงอยู่ใต้ผ้ากาสาวพัสตร์ด้วย

มีอยู่ปีหนึ่ง ที่ โดชุน (Dōshun , ฉายาทางธรรมของราซันขณะบวชเป็นพระภิกษุ) ได้เรียกรวมเหล่าสานุศิษย์และได้บรรยายในหัวข้อคัมภีร์หลุนอี่ว์ของขงจื่อ โดยใช้อรรถกถาของจูซีประกอบการอธิบายตัวบทไปด้วย ในปีนั้นผู้คนจากทั่วทั้งแผ่นดินญี่ปุ่นได้พากันเดินทางมาฟังการบรรยายของเขา หน้าประตูกุฏิของเขานั้นผู้คนพากันมุงล้อมไว้เสียหมดราวกับเป็นตลาด คิโยะวะระ ฮิเดะทะกะ (Kiyowara Hidetaka) ได้ทูลถวายคำแนะนำต่อราชสำนักของพระจักรพรรดิว่าตามประเพณีแล้ว ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ขึ้นถวายคำบรรยายในนครมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น โดชุนยังไม่ยึดตามการตีความของบัณฑิตลัทธิขงจื่อในสมัยราชวงศ์ฮั่นหรือราชวงศ์ถังอีกด้วย แต่กลับใช้การตีความตามทฤษฎีใหม่ๆของพวกบัณฑิตสมัยราชวงศ์ซ่งแทน ความผิดของเขามิใช่เรื่องเล็กๆเลย เขาให้ความเห็นที่ผันแปรไปตามกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องๆไป และไม่มีข้อตกลงใดร่วมกันได้เลย ดังนั้น ราชสำนักจึงถามความเห็นของเขาในเรื่องการทหารดู เมื่อได้ยินเช่นนี้ อิเอะยะสุ (โชกุนตระกูลโตคุงาวะคนแรก) จึงได้แสดงความเห็นว่าวิถีทางของบรรดาปราชญ์ลัทธิขงจื่อนี้ควรเป็นที่ร่ำเรียนศึกษาของทุกๆคน และบัณฑิตแต่ละคนควรได้รับการอนุญาตให้เลือกระหว่างจะใช้คำอธิบายแบบเดิมหรือใช้คำอธิบายแบบใหม่ก็ได้ ความพยายามของฮิเดะทะกะในการจะขัดขวางราซันจึงเป็นหมันไปเพราะความใจแคบและความอิจฉาของเขาเอง พฤติกรรมของเขาเป็นเรื่องเลวทรามน่าตำหนิยิ่ง แต่ด้วยเหตุนี้เอง ราชสำนักจึงปฏิเสธคำตำหนิวิจารณ์ของฮิเดะทะกะที่มีต่อราซันไปเสีย(Zōho kokushi taikei, op.cit., XXXVIII, pp.340-41)

และ

นับจากนั้นเป็นต้นไป โนะบุทะกะ (ราซัน) ก็สามารถทำการบรรยายคัมภีร์ในลัทธิขงจื่อโดยใช้การตีความของจูซีได้ในนครเกียวโต โดยไม่มีเหตุขัดข้องอีก ดังนั้น เขาจึงเป็นบุคคลแรกที่สอนปรัชญาของจูซีในประเทศญี่ปุ่น” (p.100)

เราอาจเห็นได้ว่า การที่ราซันสามารถเอาชนะศัตรูทางการเมืองของตนเองได้นั้น ก็เพราะดูเหมือนโชกุนอิเอะยะสุเป็นคนที่ใจกว้างมากในการอนุญาตให้มีการใช้คำสอนและอรรถกถาของนักปราชญ์ต่างๆได้ โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นของนักปราชญ์คนใดคนหนึ่ง ทำให้ญี่ปุ่นยุคเอโดะมีเสรีภาพในการตั้งสำนักคำสอนของลัทธิขงจื่อในหลายๆสำนักด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสายจูซี (Zhu Xi) สายหวังหยิงหมิง (Wang Yangming) สายศึกษาเรื่องโบราณ (Kobunshigaku ซึ่งเป็นสายที่ไม่เอาด้วยกับลัทธิขงจื่อใหม่ แต่ต้องการกลับไปหาลัทธิขงจื่อดั้งเดิม) ฯลฯ เป็นต้น (เรื่องตลกร้ายก็คือ ภายหลังลูกหลานและสาวกของราซันนี่เองที่เป็นผู้ร่างกฎหมายให้คำสอนของจูซีเท่านั้นที่เป็น orthodoxy ของลัทธิขงจื่อระดับประเทศ ส่วนแนวสายอื่นๆที่ไม่ใช่จูซีกลายเป็นสายนอกรีต)

อาจารย์และศิษย์คู่นี้ ถือว่ามีส่วนสำคัญไม่เฉพาะในเรื่องปรัชญาลัทธิขงจื่อใหม่ (Neo-Confucianism) เท่านั้น แต่สองคนนี้ยังมีบทบาทอย่างสูงมากในเรื่องนโยบายปกครองประเทศของรัฐบาลบะคุฟุของโชกุนตระกูลโตคุงาวะ (Tokugawa Bakufu) อีกด้วย อย่างเซะอิกะผู้เป็นอาจารย์เองก็เคยเป็นผู้เขียนจดหมายทางการทูตให้แก่การค้าขายระหว่างประเทศของญี่ปุ่นกับอาณาจักรต่างๆ (ก่อนที่ภายหลัง บะคุฟุจะสั่งปิดประเทศตามนโยบาย สะโกคุเซอิ”) เช่น การค้าขายทางสำเภาระหว่างอาณาจักรอันนัม (เวียดนาม) กับญี่ปุ่น ฯลฯ ส่วนราซันผู้เป็นศิษย์นั้น ได้รับการแนะนำโดยเซะอิกะต่อโชกุนอิเอะยะสุด้วยตนเอง เพราะตอนที่อิเอะยะสุทาบทามเซะอิกะมาเป็นกุนซือให้นั้น เซะอิกะได้ปฏิเสธ เพราะต้องการความสงบของชีวิต จึงแนะนำศิษย์ตนให้กับอิเอะยะสุแทน และราซันผู้นี้แหละ ที่ได้ออกกฎหมายต่างๆในช่วงแรกๆของยุคเอโดะให้กับรัฐบาลบะคุฟุด้วย.

__________________________

[บรรณานุกรม]

Masao Maruyama, Studies in the Intellectual History of Tokugawa Japan, tr. Mikiso Hane (Tokyo : University of Tokyo Press, 1974)

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม