Historical Record (史記) : จิ๋นซีฮ่องเต้ กับ ยาอายุวัฒนะ และการเผาตำราฆ่าบัณฑิต



ได้อ่านตำราประวัติศาสตร์จีนชื่อดังอย่าง "สื่อจี้" (史記) หรือแปลตรงตัวว่า "บันทึกประวัติศาสตร์" (Historical Record) ของซือหม่า เชียน (Sima Qian) ในส่วนของจักรพรรดิองค์แรกของจีน (The First Emperor of China) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ "จิ๋นซีฮ่องเต้" (จีนกลาง: ฉินซือหวงตี้) แล้ว คิดว่ามีหลายส่วนน่าสนใจ เลยแปลจากตัวบทภาษาอังกฤษออกมาให้ได้อ่านกัน จะได้เป็นการสัมผัส "ตัวบท" (text) กันจะๆ ไปเลย โดยจะแบ่งเป็น 3 หัวเรื่อง คือ

  1. เรื่องการถือโชคลางของการเปลี่ยนราชวงศ์
  2. เรื่องการแสวงหา "ยาอายุวัฒนะ" (Elixir of Everlastinglife)
  3. เรื่องการเผาตำราฆ่าบัณฑิต ที่โด่งดังของอีตาจิ๋นซีแก

ทั้งนี้เราแปลจากภาษาอังกฤษ ฉบับแปลของ Raymond Dawson หากสนใจจะดูฉบับภาษาอังกฤษ โปรดดู Sime Qian, The First Emperor: Selections from the Historical Records. (tr. Raymond Dawson), (Oxford: Oxford University Press, 2007) แต่ถ้าใครเมพภาษาจีน ก็ลุยตัวบทจีนเองเลยจ้า


****************************************


1. เรื่องการถือโชคลางของการเปลี่ยนราชวงศ์


เมื่อจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งฉิน ผู้ทรงรวบรวมใต้หล้า (All under heaven) ให้เป็นหนึ่งเดียว ได้ทรงกลายมาเป็นจักรพรรดิ (皇帝 ตำแหน่งนี้ปัจจุบันแปลว่า Emperor ถือเป็นตำแหน่งที่จิ๋นซีได้ใช้เป็นคนแรกของประวัติศาสตร์จีน) บางคนก็กล่าวว่า 'หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) ทรงรับเอาพลังแห่งธาตุดิน และมังกรเหลืองกับไส้เดือนดินก็ปรากฏออกมา ราชวงศ์เซี่ยรับเอาพลังแห่งธาตุไม้ แล้วมังกรเขียวก็หยุดลงตรงชายเขตอาณาจักร แล้วต้นหญ้ากับพฤกษชาติก็งอกงามไปทั่ว ราชวงศ์อิน (ราชวงศ์ซาง) รับเอาพลังแห่งธาตุโลหะมา แล้วแร่เงินก็ไหลบ่าลงมาจากขุนเขาทั้งปวง ราชวงศ์โจวรับเอาพลังแห่งธาตุไฟ แล้วก็มีนกสีแดงเป็นบุพนิมิต [1] บัดนี้ ราชวงศ์ฉินได้แทนที่ราชวงศ์โจวลงแล้ว จึงเป็นคราวของพลังแห่งธาตุน้ำบ้าง เมื่อนานนักหนามาแล้วนั้น ฉินเหวินกง (Duke Wen of Qin) ได้หุนหันพลันแล่นเสด็จไปล่าสัตว์ แล้วก็ทรงจับเอามังกรดำได้ ฉะนั้นนี่จึงเป็นบุพนิมิตบ่งถึงว่าพระองค์จะทรงรับเอาพลังแห่งธาตุน้ำไว้ได้' ครั้นแล้ว ราชวงศ์ฉินก็เปลี่ยนชื่อแม่น้ำหวงเหอ (แม้น้ำเหลือง) มาเป็น 'แม่น้ำอันทรงพลัง' (Powerful Water --> หาข้อมูลตัวจีนไม่เจอว่ะ เลยไม่รู้ว่าชื่อจีนตอนนั้นคือไร)

(บท Treatise ว่าด้วยการปกครองของราชสำนักฉิน,p.95) 


จะเห็นได้ว่า ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่โคตรจะ "เอเชีย" เลยนะมึง ไอ้เรื่องการถือเคล็ด ถือโชคลางของราชวงศ์เนี่ย เราเคยได้ยินผ่านๆมาว่า สมัยพวกมองโกลบุกมายึดจีนได้หมด พวกมองโกลตั้งชื่อราชวงศ์ของตนว่า "หยวน" (元) เพราะมันจะไปหักล้างพลังของราชวงศ์ก่อนหน้า คือราชวงศ์ซ่ง (宋) ต่อมาเมื่อจูหยวนจางไล่พวกมองโกลไปหมดแล้ว ก็ตั้งชื่อราชวงศ์ของตนว่า "หมิง" (明) เพราะมันแก้กับชื่อ "หยวน" (元) ได้ ทีนี้พอพวกแมนจูบุกมาล้มต้าหมิงได้ ก็เลยถือเคล็ดเดียวกันว่า ตั้งชื่อราชวงศ์ของตนว่า "ชิง" (清) เพราะมันมีพลังเหนือกว่าชื่อ "หมิง" (明) นั่นเอง ไอ้เรื่องแบบนี้ ตอนแรกเราฟังแล้วก็คิดว่า งมงายดีนะ แต่ก็เพราะมองจากมุมแบบนั้น มันเลยเป็นการสื่อว่าเราไม่เข้าใจจิตวิทยาและจักรวาลวิทยาของจีนเลย ว่า "ชื่อนั้นสำคัญไฉน" หุหุ

เสริมนิดนึง เราเคยอ่านผ่านๆมาว่า ตามจารีตพิธีของราชวงศ์โจวนั้น กษัตริย์ราชวงศ์โจวทรงสวมฉลองพระองค์ด้วยสีแดง เพราะสีแดงคือสีมงคลของราชวงศ์โจว (เพิ่งได้เห็นสาเหตุที่อยู่ตัวบทเป๊ะๆก็ไอ้ที่แปลให้ได้อ่านข้างบนนั่นแหละ) สีแดงเป็นสีของโอรสสวรรค์ (Mandate of Heaven) และเป็นสีของกษัตริย์เท่านั้น พอกษัตริย์เจิ้งแห่งแคว้นฉิน ปราบทุกแคว้นในยุคจ้านกว๋อได้ และตั้งตัวเป็น "จักรพรรดิพระองค์แรก" (The First Emperor) หรือ "ฉินซือหวงตี้" นั้น พระองค์ก็พบว่า พระองค์ยิ่งใหญ่กว่าบรรพกษัตริย์ในโบราณกาล (พวก Three Sovereigns-Five Emperors) และพวกกษัตริย์ในสามราชวงศ์แรก (เซี่ย ซาง โจว) ด้วย สีแดงของกษัตริย์ (King) จึงไม่เหมาะสมกับผู้ยิ่งใหญ่กว่าอย่างพระองค์ที่เป็นจักรพรรดิ (Emperor) จึงทรงดำริให้ใช้สีเหลืองไม่ก็สีดำนี่แหละ (จำไม่ได้ละ -*-) เป็นสีประจำองค์ 

หากสีแดงเป็นสีของกษัตริย์ คุณคงพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมกษัตริย์เกาหลีถึงใส่ฉลองพระองค์สีแดง


ทั้งนี้ ไอ้เหตุการณ์เสริมพลังของราชวงศ์ฉิน และเปลี่ยนชื่อแม่น้ำหวงเหอยังมีกล่าวซ้ำในบทจดหมายเหตุราชวงศ์ฉิน (Annals of Qin) ในหน้า 63 อีกด้วย ใครสนใจก็ไปตามอ่านเอาเน้อ



2. เรื่องการแสวงหา "ยาอายุวัฒนะ" (Elixir of Everlastinglife)

เราว่าเราก็เหมือนหลายๆคนแหละ ที่ได้ยินเรื่องความบ้าเพ้อถึงชีวิตอมตะของจิ๋นซีฮ่องเต้มานักต่อนัก อันที่จริงเราว่าการแสวงหาชีวิตอมตะนี่แม่งเป็นของที่มนุษย์แม่งแสวงหามาตลอดเวลา (ไม่ได้เหมารวมนะ มองกว้างๆ) ส่วนตัวเราขำแน่ๆ เพราะเรามองว่าชีวิตมันทุกข์ อยู่นานไปตลอดกาลก็ไม่มีประโยชน์ไร แต่ถ้ามองในมุมมองของคนที่ได้อำนาจปกครองมาอย่างเบ็ดเสร็จ แม่งก็คงอยากอยู่ยืนยาวเพื่อปกครองต่อนั่นแหละมั้ง มันก็เป็นเรื่องต่างมุมมอง เอาเหอะ มาดูตัวบทกันเลยว่า บันทึกประวัติศาสตร์ของซือหม่า เชียน (เออลืมบอก อีตาซือหม่า เชียน นี่อยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นนะจ้ะ) เขียนไว้ว่าไงมั่ง

เริ่มแรก ก็คือ จุดเริ่มต้นของการเริ่มแสวงหายาอยุวัฒนะนั้น มีสาเหตุมาจากพวกผู้วิเศษ (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า megicians ก็คือ พวกที่เป็นเหมือนซินแสในลัทธิเต๋าอะไรทำนองนั้น) เป็นคนไปทูลให้จิ๋นซีแกรู้ว่ามีของอย่างว่านี้อยู่บนโลก ตามนี้


จากยุคของเว่ย (Wei) และเซวียน (Xuan) และเจา (Zhao) แห่งแคว้นเอียน (Yan) ผู้คนทั้งหลายพากันถูกส่งไปค้นหาภูเขาเผิงไหล ภูเขาฟางจ้างและภูเขาอิ๋งโจว ว่ากันว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามลูกนี้นั้นอยู่ในทะเลป๋อไห่ มันจึงอยู่ไม่ไกลจากพิภพของมนุษย์นัก แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า หากผู้ใดใคร่จักไปที่นั่น เรือของพวกเขามักจะถูกกระแสลมใหญ่พัดให้ห่างออกไปเสมอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ครั้งหนึ่งต้องเคยมีคนที่เคยไปถึงที่นั่นมาแล้ว และทั้งบรรดาเซียนผู้เป็นอมตะชะและยาอายุวัฒนะที่จะให้ชีวิตนิรันดรก็ถูกค้นพบจากที่นั่นแล พืชและสิ่งมีชีวิตที่นั่นล้วนแต่มีสีขาวโพลน ราชวังและประตูของพวกอมตะชนเหล่านี้ก็ล้วนทำจากทองคำและเงิน เมื่อมองจากไกลๆ จะเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นเหมือนเมฆลอยสีขาว แต่เมื่อดูใกล้ๆจะพบว่าภูเขาทั้งสามลูกนี้นั้นตั้งคว่ำอยู่ใต้ผืนน้ำนั่นเอง มีคนเคยเข้าใกล้ที่นั่นมาแล้ว และก็โดนกระแสลมพัดพวกเขาออกไปจากอาณาเขตของภูเขาทันทีที่เข้าใกล้ จึงเป็นที่กล่าวกันว่า ไม่เคยมีผู้ใดที่สามารถไปถึงที่นั่นได้เลยสักคน เหล่าผู้ปกครองแคว้นต่างๆพากันถอดใจในเรื่องนี้ทั้งสิ้น และแล้วเมื่อถึงคราของจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งแคว้นฉิน (ฉินซือหวงตี้) ผู้รวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวนี่เอง เมื่อคราพระองค์ประพาสชายหาดริมทะเลนั้น เหล่าบรรดาผู้วิเศษหลายๆคนพากันพูดถึงภูเขาสามลูกนี้ให้ทรงสดับ จักรพรรดิพระองค์แรกทรงพิจารณาว่าน่าจะทรงเสด็จไปยังที่นั่นด้วยพระองค์เอง แต่ก็ทรงกลัวว่าจะไปไม่ถึง ดังนั้นจึงทรงแต่งตั้งคนบางคนให้เป็นเป็นผู้ส่งบรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวและทาสบริวารรับใช้ไปในทะเลเพื่อค้นพาสถานที่นี้เสียก่อน แม้ว่าเรือทั้งหลายจะไปและกลับจากทะเลสักกี่คราก็ตาม พวกเขามักจะอ้างว่ามีกระแสลมพัดมา ทำให้พวกเขาไม่อาจไปถึงที่นั่นได้ แต่พวกเขามองเห็นที่นั่นจากระยะไกลๆ

(The Treatise, p.98) 


และด้วยความตั้งใจจะหา "หนูทดลอง" ส่งไปตายดาบหน้านี่เอง ฉินซือหวงตี้เลยได้ว่าจ้างผู้วิเศษเข้าคนหนึ่งที่มีนามว่า ซวีฝู ให้มาทำภารกิจ ตัวบทต่อไปนี้บอกเรื่องราว


ต่อมา ซวีฝู (Xu Shi) แห่งแคว้นฉีและคนอื่นๆได้น้อมรับราชโองการที่ว่า ในทะเลนั้นมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ 3 ลูก นามว่า เผิงไหล (Penglai) ฟางจ้าง (Fangzhang) และ อิ๋งโจว (Yingzhou) เป็นที่ๆเหล่าเซียนผู้เป็นอมตะชนพากันสถิตอยู่ที่นั่น พวกเขาได้รับการร้องขอให้รีบเดินทางไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และต้องชำระตนให้สะอาดเสียก่อนเพื่อจะได้ไปยังท้องทะเลเพื่อค้นหาสถานที่เหล่านั้น โดยให้พาบรรดาเด็กหนุ่มสาวและบริวารไปด้วย ครั้นแล้วซวีฝูก็ได้รับการว่าจ้างให้ส่งบรรดาเด็กหนุ่มและเด็กสาวจำนวนนับพันไปยังทะเลเพื่อค้นหาบรรดาอมตะชนเหล่านั้น

(Annals of Qin, p.69) 


แต่กระนั้น ก็เป็นไปอย่างที่เราน่าจะคาดคิดกันได้ ก็คือ คณะของซวีฝูนั้น ไม่พบเจอ "ยาอายุวัฒนะ" แต่อย่างใด


ในตอนขากลับมานั้น ซวีฝูผ่านแคว้นอู๋ (Wu, ไม่มีตัวจีนให้ เราเดาว่าคือแคว้นอู๋ 吳國) ข้ามแม่น้ำจาก jiangcheng เลียบมาตามชายหาดแล้วท่องขึ้นไปทางเหนือ จนถึง Lang ye ผู้วิเศษซวีฝูนี้และคนอื่นๆได้เคยออกไปค้นหายาอายุวัฒนะ (elixir) แต่หลังจากผ่านไปหลายปี กลับไม่พบสิ่งใด ทั้งค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น พวกเขาจึงกลัวจะโดนตำหนิ ดังนั้นพวกเขาจึงแต่งเรื่องโกหกขึ้นว่า 'ยาอายุวัฒนะนั้นอยู่ที่ภูเขาเผิงไหลแน่ แต่เราถูกฝูงฉลามยักษ์จู่โจมเป็นนิจ ทำให้เราไม่อาจไปถึงที่นั่นได้ เราจึงอยากร้องขอให้มีนักแม่นธนูหลายๆนายไปกับเราด้วย เพื่อว่าเวลานายธนูเหล่านี้เห็นพวกมัน จะได้ยิงพวกมันเสียด้วยหน้าไม้'

(Annals of Qin, p.81)


และแน่ล่ะว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ผู้เกรียงไกร ไม่เคยได้อยู่เป็นอมตะสมใจหวังเลยแต่อย่างใด เพราะถึงที่สุด ความตายก็มาพรากแกจากชีวิตจนได้


ห้าปีหลังจากนั้น จักรพรรดิพระองค์แรกทรงเสด็จไปทางใต้ถึงภูเขาเซียง (Mount Xiang) และจากนั้นก็ทรงปีนยอดภูไคว่จี (Kuaiji) แล้วก็ทรงประพาสไปตามชายหาดริมทะเล ทรงหวังจะได้ข้ามทะเลโพ้นไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามลูกในทะเลอันเป็นที่สถิตของยาอายุวัฒนะอันแสนวิเศษนั้น แต่ก็ทรงไม่เคยได้มันมาครอบครองแต่อย่างใด และเมื่อทรงเสด็จไปถึงอำเภอซาชิว (Shaqiu) ในระหว่างการเสด็จกลับนั้น พระองค์ก็ทรงสวรรคตที่นั่น

(The Treatise, p.99)


อ้อ ในเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามลูกที่ตั้งอยู่กลางทะเลป๋อไห่และเป็นที่สถิตของเหล่าเซียนนั้น เราเคยอ่านเจอในไหนก็จำไมไ่ด้ละ ว่าคนญี่ปุ่นพากันเอาไปตีความว่า เขาเผิงไหลก็คือเกาะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันของตนนั่นเอง เพราะเป็นดินแดนกลางทะเล ทั้งยังมีภูเขาสูงด้วย บวกกับตำนานเรื่องที่เทพเป็นผู้สร้างญี่ปุ่น และพระจักรพรรดิสืบเชื้อสายมาจากเทพ จึงมีอยู่ช่วงนึงที่ญี่ปุ่นเรียกประเทศตัวเองอย่างภูมิใจว่า ภูเขาเผิงไหล ในตำนานนั่นเอง (蓬萊山 - เผิงไหลซัน / โฮไรซัง) เพราะดินแดนของตนเป็นที่สถิตของเทพ 



3. เรื่องการเผาตำราฆ่าบัณฑิต ที่โด่งดังของอีตาจิ๋นซีแก

นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์นึงที่ทำให้จิ๋นซีโด่งดังในฐานะ "ทรราช" นั่นเอง เราอ่านไม่พบบันทึกเหตุการณ์ตอนที่พวกนักปราชญ์ลัทธินิตินิยม (ฝ่าเจีย / Legalism) มาทูลเสนอว่า ให้กำจัดพวกบัณฑิตขงจื่อที่ต่อต้าน และให้เผาทำลายตำราของลัทธิขงจื่อให้หมด (เดาว่า เราคงอ่านไม่เห็น ไม่ก็ เขาไมไ่ด้ตัดตอนนี้มาให้เราอ่าน?) แต่เราพบเนื้อหาสรุปหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว


สิบสองปีหลังจากที่จักรพรรดิพระองค์แรกทรงประกอบพิธียัญบูชาเฟิงซ่าน [2] ราชวงศ์ฉินก็ล่มสลาย เหล่าบรรดาบัณฑิตลัทธิขงจื่อทั้งหมดพากันเกลียดชังราชวงศ์ฉินที่ได้เผาทำลายคัมภีร์ซือจิง (Classic of Songs) และคัมภีร์ซูจิง (Classic of Documents) และที่ประหัตประหารเหล่าผู้รู้หนังสือกับผู้คนจำนวนมากที่ไม่พอใจกฎหมายของราชวงศ์ฉิน ดังนั้น ทั้งใต้หล้าจึงขบถต่อฉินและพากันบิดเบือนความจริงอย่างสิ้นเชิงด้วยการพูดกันว่า 'เมื่อจักรพรรดิพระองค์แรกทรงปีนภูเขาไท่ซานนั้น พระองค์ทรงถูกลมฝนพัดกระหน่ำใส่อย่างรุนแรงจนไม่อาจประกอบพิธียัญบูชาเฟิงซ่านได้' นี่ไม่ได้หมายถึงการเป็นผู้ประกอบพิธีทั้งๆที่ไร้คุณธรรมที่จะประกอบพิธีได้หรอกหรือ? 

(The Treatise, p.99)


ก็...จบแค่นี้แหละครัฟ ขอบคุณที่อ่านกันเน้อ


_________________________
เชิงอรรถ

[1] นกสีแดง คือ สัญลักษณ์นำโชคที่ encouraged พระเจ้าหวู่ (ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว) ให้กล้ารวมพลโจมตีกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์อิน (ราชวงศ์ซาง)
[2] พิธีเฟิงซ่าน (feng and shan sacrifices 封禪) เป็นพิธีบูชายัญเซ่นไหว้ที่สำคัญที่กษัตริย์แต่โบราณจะเสด็จมาทำพิธีในยามที่ทรงรู้สึกว่าพระราชอำนาจนั้นมั่นคงดีแล้ว

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น